สารประจำวันของพระเยซูคริสตเจ้า ถ่ายทอดให้แก่ผู้ทรงนิมิต ภราดาเอไลอัส

ระหว่างการภาวนา ก่อนจะสิ้นสุดการดำเนินพระมหาทรมานและเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ได้ทรงสถิตอยู่

 

ทรงปรากฏพร้อมกับทูตสวรรค์สิบสององค์ แต่ละองค์ถือจอกในหัตถ์ซึ่งได้มอบให้แก่พวกเราทุกคน ทูตสวรรค์ห่มผ้ายาวขาวสว่าง ล้อมร่างเป้นจันทร์เสี้ยวเบื้องหลังพระมหาปุโรหิต ล้วนมีร่างขนาดย่อมและผมสีทอง

 

เรากล่าวว่า พระองค์ทรงปรากฏมาเพราะเรารู้สึกถึงตัวตนของพระคริสต์ แต่ในขณะนั้นเรามองไม่เห็นพระองค์ หลังจากนั้น เมื่อเราขับร้องท่อนสุดท้ายของบทเพลงพระคริสต์ผู้ไถ่บาป และบทพระคริสต์ทรงกลับมา พระองค์ทรงเผยพระวรกายให้เห็น พระองค์ปรากฏในวิถีเดียวกันกับที่พระมารดาศักดิ์สิทธิ์ปรากฏองค์ เสด็จลงมาจากเบื้องบนเป็นแสงสว่าง และเมื่อพระองค์ประทับใกล้พวกเรา ทรงแสดงและเราสามารถเห็นพระองค์อย่างแจ่มแจ้ง

ขณะที่พระองค์ปรากฏ ทรงทำสำคัญมหากางเขนด้วยพระหัตถ์ขวาอำนวยพร และตรัสว่า

สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า!

พระองค์สวมใส่ชุดคลุมขาวปลอด พระเกศายาวปรกไหล่ เช่นเดียวกับในภาพของพระคริสตเจ้าผู้ทรงกรุณา พระองค์สวมใส่ผ้าคลุมสีทอง และพระองค์ทรงพระบาทเปล่า บนพระพักตร์ของพระองค์คือรอยยิ้มอันแสนงดงามและอ่อนโยน และพระเนตรของพระองค์ส่องประกายด้วยสีสันอันศักดิ์สิทธิ์และสดใส พระกรของพระองค์ผายออกข้างพระวรกาย กางออกเล็กน้อย หันฝ่าพระหัตถ์มาหาเรา พร้อมทั้งมีแสงสว่างสาดส่องออกมาจากฝ่าพระหัตถ์นั้นจากพระหฤทัยของพระองค์ก็มีลำแสงสองเส้นอันเป็นสีผลึกเขียวครามสาดส่องออกมา

เบื้องหลังพระองค์คือสวรรค์ชั้นฟ้ามากมายที่เปิดกว้าง และพระองค์ทรงสถิตอยู่เหนือหมู่เมฆ พร้อมตรัสว่าพระองค์ได้แสดงให้เห็นการกลับคืนมาของพระองค์ แล้วก็ทรงนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน คอยเฝ้าสังเกตการณ์และคำนึงถึงพวกเรา ดูเหมือนว่าตัวตนของพวกเราจะถูกเปิดเผยชัดแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์นั้น ทรงทำให้เราเข้าใจว่าพระองค์สามารถรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดของพวกเราได้พร้อมกัน ทั้งหมดนั้นเป็นหลักฐานต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์

ในขณะนั้น พวกเราไม่ทราบเลยว่าภารกิจที่พระองค์มอบหมายนั้นจะสำเร็จไปได้อย่างไร พระองค์ทรงมาปรากฏกาย และพวกเราได้แต่เพียงเฝ้ามองพระองค์โดยไม่ทราบเลยว่าจะทรงตรัสสิ่งใดจนกระทั่งพระองค์เริ่มตรัสและถ่ายทอดสารออกมา

สหายที่รักเอ๋ย

เราฝักใฝ่เฝ้าคอยได้แบ่งปันช่วงเวลานี้กับเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดวงใจของพวกเจ้าทั้งหลาย หลังจากผ่านไปกว่าสองพันกับอีกสิบสามปี บัดนี้ เรากลับมาในนามของพระประสงค์อันสูงสุดของพระเป็นเจ้าด้วยพระกรุณาและการอภัยบาป เพื่อชี้นำดวงใจของเจ้าให้แนบชิดยิ่งขึ้น

แต่การกลับมาครั้งที่สองที่เฝ้ารอของเรายังไม่เริ่มต้นขึ้น

วันนี้เรามาในพระจิตเจ้าและในสภาพร่วมธรรมชาติเพื่อเติมเต็มดวงใจเล็กๆ ของเจ้าทั้งหลายด้วยแสงสว่างของเรา แด่ผู้ที่ยังไม่สดับฟังคำเรา ขอให้เจ้าฟังเราเสียเพราะเรากำลังจะกลับมา แด่ผู้ที่ยังมองไม่เห็นเรา ขอให้เจ้ามองเห็นเราเสียเพราะสันติของเรากำลังใกล้เข้ามา แด่ผู้ที่เพิกเฉยเรา และเฆี่ยนตีดวงหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของเรา ขอให้เจ้าได้สัมผัสเรา เพราะเรามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้เพื่อนำสันติ สิริรุ่งโรจน์ ความช่วยเหลือ และคำปรึกษาของเรามาให้แก่เจ้า

เราได้อยู่ท่ามกลางหมู่พวกเจ้าแล้วหนหนึ่ง และบัดนี้เรากลับมา เราได้กลับมาสู่ชนของเราเพื่อเตือนว่าบัดนี้คือเวลาแห่งการร่วมมหาสนิทนิรันดร์กับตัวเรา กับจิตวิญญาณเรา กับดวงใจของเรา และกับที่พำนักอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา

เราคือผู้ยากไร้ เราคือผู้มรณา เราคือผู้รับทรมานในทุกแห่งบนโลกนี้  

จงมาหาเราเถิด เพื่อเราจะได้ให้ความกระจ่างแก่เจ้า! จงมาหาเราเถิด เนื่องด้วยเรามีความกระหาย!

ขอจงได้รับพระพรในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระจิตของพระผู้เป็นเจ้าเถิด

ขอขอบใจที่รับกระแสเรียกสุดท้ายจากผู้ไถ่ด้วยดวงใจของเจ้า

พระเยซูคริสต์

เมือ่พระองค์ประทานพระวรสารสำเร็จแล้ว เราได้ทูลถามว่า สิ่งใดที่พระองค์ประสงค์ต่อเรามากที่สุดในวันนี้

พระองค์ตรัสว่า

วันนี้ ข้าได้อนุญาตให้พวกเจ้า เหล่าน้องชายและน้องสาว เมื่อหัวใจปรารถนา เข้ามาร่วมพบกับข้าในเวลาบ่ายสามโมงของทุกวัน

ณ เวลานี้ เราต้องถาวนาและรอพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เรามิพึงลืมที่จะภาวนาต่อวิหารกระกรุณากิตติคุณ ด้วยเหตุว่าพระองค์จะทรงฟังคำภาวนาด้วยความปรานียิ่ง ท้ายที่สุด ก่อนพระองค์จะเสด็จกลับ เราทูลถามพระองค์บางสิ่ง พระมหาปุราจารย์จะปรากฏองค์ในหนแห่งใดที่เราจะตามไปได้? พระองค์ตรัสตอบ

ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หนไหน ข้าจะนำทางเจ้า